แบบจำลองโมเดล NPU ของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิจิตรา ธงพานิช
แบบจำลองโมเดล NPU ของน.ส. มะลิวัลย์ ศรีวรสาร
NPU Model คือ
การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน โดยใช้วิจัยเป็นฐาน
ที่มาจากนิยามศัพท์ของการวิจัย
ที่ว่าการวิจัย หมายถึง
กระบวนการแสวงหาความรู้ความจริงด้วยวิธีการที่เชื่อถือได้
ผู้วิจัยนำแนวคิดการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์มาเป็นสาระสําคัญ
ประกอบด้วย การทําความกระจ่างชัดในความรู้การเลือกรับและทําความเข้าใจ
สารสนเทศใหม่และการตรวจสอบทบทวนและใช้ความรู้ใหม่ในทำนองเดียวกันผู้วิจัยได้ศึกษาแบบจำลอง Biggs 3’P
Model ตัวแปรก่อนเรียน (Presage) กระบวนการ (Process)
และผลผลิต (Product) สอดคล้องกับแนวคิดการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
(Treffinger, Isaksen and Dorval, 2000) ประกอบด้วย
1)
ความเข้าใจที่ท้าทาย (Understanding the
Challenge) มุ่งค้นหาจุดหมาย (goal) โอกาส (oppor-tunity)
ความท้าทาย (Challenge) ความกระจ่างชัด (clarifying)
คิดแผนการ (formulating) เพื่อกำหนดกรอบ
ความคิดสำคัญในการปฏิบัติงาน
2)
การสร้างมุมมองในการคิดแก้ปัญหา (Generating
Ideas)
3) การเตรียมทั้งวิธีการในการปฏิบัติงานและความสำเร็จในการปฏิบัติงาน
(Preparing
for Action)
ผู้วิจัยได้สังเคราะห์เป็นแบบจำลองการสอน
เรียกว่า NPU Model ประกอบด้วย 3
ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1
N- Need Analysis
1.1
วิเคราะห์จุดหมายในการเรียนรู้นักศึกษาวิเคราะห์หลักการจัดการศึกษาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่
21 และจุดหมายของการศึกษาในระดับสากล (World class
Education) เพื่อกำาหนดจุดหมายในการเรียนรู้วิชา “การพัฒนาหลักสูตร”
และนำไปกำหนดจุดหมายของหลักสูตรที่นักศึกษาจะต้องพัฒนาขึ้น
1.2
การวางแผนการเรียนรู้ผู้เรียนวางแผนการเรียนรู้ด้วยตนเอง
1)
กำหนดกลยุทธการพัฒนาตนเองจากการศึกษาเอกสารหนังสือหลักฐานร่องรอยหรือการสืบค้นในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือปฏิบัติกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
“กระบวนการพัฒนาหลักสูตร”
2)
จัดทําปฏิทินและเครื่องมือในการกำกับติดตามเพื่อการประเมินตนเองในการพัฒนาหลักสูตร
ขั้นที่ 2 P-/Praxis
2.1
การพัฒนาทักษะการเรียนรู้นักศึกษาศึกษาเรียนรู้ด้วย
การแสวงหาและใช้แหล่งการเรียนรู้ทั้งในรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือและการเรียนรู้ร่วมกันการใช้วิธีการต่างๆ
ในการเรียนรู้ และการตรวจสอบความรู้ "กระบวนการพัฒนาหลักสูตร"
2.1.1 การแสวงหาและใช้แหล่งการเรียนรู้
2.1.2 การใช้วิธีการต่างๆ
ในการเรียนรู้
2.1.3
การตรวจสอบความรู้นักศึกษาจะได้รับการสนับสนุนให้ทํากิจกรรมการ
ปฏิบัติการใช้คอมพิวเตอร์และกิจกรรมกลุ่มมีการแลกเปลี่ยนความคิดของนักศึกษาเปิดการอภิปราย
ให้กว้างขวางเสนอหลักฐานร่องรอยของความคิดของนักพัฒนาหลักสูตรเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้
อภิปรายกับกลุ่มเพื่อนภายใต้บรรยากาศการเรียนรู้ที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน
2.2
การสรุปความรู้และการวิพากษ์ความรู้ผู้สอนส่งเสริมให้นักศึกษาได้อธิบายแนวคิด
“กระบวนการพฒนาหลักสูตร”
โดยใช้ภาษาของตนเองสอบถามถึงหลักฐานและความชัดเจนในการอธิบายของนักศึกษาที่ใช้ความรู้เดิมหรือประสบการณ์ที่มีมาก่อนของผู้เรียนเป็นพื้นฐานในการ
อธิบายในส่วนการวิพากษ์ความรู้ผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนขยายความรู้ความเข้าใจใน
“กระบวนการพฒนาหลักสูตร”
ของนักศึกษาโดยผ่านประสบการณ์ใหม่ๆผู้เรียนจะได้รับการ
สนับสนุนให้นําความรู้ปรับใช้กับประสบการณ์
ในชีวิตจริงโดยผ่านกระบวนการพัฒนาหลักสูตร
นักศึกษานำความรู้ความเข้าใจไปประยุกต์
โดยการพัฒนาหลักสูตรเพิ่มขึ้น
ขั้นที่ 3
U-Understanding
การตรวจสอบทบทวนตนเองด้วยการประเมินความเข้าใจในการเรียนรู้
- การประเมินความรู้ส่งเสริมให้นักศึกษาประเมินความรู้และความสามารถของตนเอง
ประเมินความก้าวหน้าในการเรียนและประเมินการบรรลุจุดหมายการศึกษา
ผู้วิจัยได้สังเคราะห์แนวคิดทฤษฎีและนำเสนอเป็นแบบจำลองการเรียนการสอน เรียกว่า NPU
Model
อธิบาย NPU โมเดลของ นางสาวมะลิวัลย์ ศรีวรสาร
N = Planning
3R ได้แก่
·
Reading (อ่านออก),
·
(W)Riting (เขียนได้)
·
(A)Rithmetics (คิดเลขเป็น)
7C ได้แก่
·
Critical thinking & problem
solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา)
·
Creativity & innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม)
·
Cross-cultural understanding (ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์)
·
Collaboration, teamwork &
leadership (ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ)
·
Communications, information &
media literacy (ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ)
·
Computing & ICT literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)
·
Career & learning skills (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้)
ดังนั้นทักษะของคนต้องเตรียมคนออกไปเป็น knowledge worker โดยครูเพื่อศิษย์นั้นจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองโดยสิ้นเชิงเพื่อให้เป็น
“ครูเพื่อศิษย์ ในศตวรรษที่ 21” ไม่ใช่ครูเพื่อศิษย์ในศตวรรษที่
20 หรือศตวรรษที่ 19 ที่เตรียมคนออกไปทำงานในสายพานการผลิตในยุคอุตสาหกรรม
การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ต้องเตรียมคนออกไปเป็นคนทำงานที่ใช้ความรู้
(knowledge worker) และเป็นบุคคลพร้อมเรียนรู้ (learning
person) ไม่ว่าจะประกอบ สัมมาชีพใด มนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ต้องเป็นบุคคลพร้อมเรียนรู้ และเป็น คนทำงานที่ใช้ความรู้ แม้จะเป็นชาวนาหรือเกษตรกรก็ต้องเป็นคนที่พร้อมเรียนรู้
และเป็นคนทำงานที่ใช้ความรู้ ดังนั้น ทักษะสำคัญที่สุดของศตวรรษ ที่ 21 จึงเป็นทักษะของการเรียนรู้ (learning
skills)
ครูเพื่อศิษย์เองต้องเรียนรู้ 3R x 7C และต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต
แม้เกษียณอายุจากการเป็นครูประจำการไปแล้ว
เพราะเป็นการเรียนรู้เพื่อชีวิตของตนเอง ระหว่างเป็นครูประจำการก็เรียนรู้สำหรับเป็นครูเพื่อศิษย์
และเพื่อการดำรงชีวิตของตนเอง โดยย้ำว่าครูต้องเลิกเป็น “ผู้สอน”
ผันตัวเองมาเป็นโค้ช หรือ facilitator ของการเรียนของศิษย์
ที่ส่วนใหญ่เรียนแบบ PBL คือโรงเรียนในศตวรรษที่
๒๑ ต้องเลิกเน้นสอน หันมาเน้นเรียน เน้นทั้งการเรียนของศิษย์
และของครู
จุดหมายของหลักสูตร
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข
มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ
จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียน เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้
๑.
มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง
มีวินัยและปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
๒. มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร
การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต
๓.
มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย
๔.
มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและ
การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
๕.
มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม
และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข
"เก่ง ดี มีสุข"
แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ ๑๐
มีเจตนารมณ์มุ่งพัฒนาชีวิตให้เป็น "มนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ
สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข"
หรือกล่าวอีกอย่างคือบุคคลที่มีความ "เก่ง ดี มีสุข"
ซึ่งหากนี่คือเป้าหมายหลักของภาครัฐ
ที่ต้องการให้เด็กและเยาวชนไทยเติบโตอย่างสมบูรณ์พร้อมทั้งทางด้านไอคิวและอีคิว
ตรงตามเป้าหมายการศึกษา คือ ผู้เรียนเป็น คนดี คนเก่ง และ มีความสุข
ยึดคุณธรรมนำความรู้ สู่สังคมไทยโดยสิ่งที่จะบ่งบอกว่าบุคคลใดเป็นบุคคลที่มีความเก่ง
ดี และมีสุขในการศึกษาคือ
เก่ง
หมายถึง ความสามารถทางพุทธิปัญญา คือ
ความรู้ความเข้าใจที่แจ่มแจ้งสามารถนำไปใช้ได้ วิเคราะห์เป็น สังเคราะห์ได้
ประเมินได้อย่างเข้าใจ และรู้แจ้งตามศักยภาพ
ดี
หมายถึง เป็นผู้มีเจตคตินิยมที่ดีทั้งต่อการเรียน ความเป็นอยู่ต่อบุคคล ต่อสังคม
ชุมชน และประเทศ
มีสุข
หมายถึง สนุกกับการเรียนและใคร่เรียนรู้ตลอดชีวิต
ซึ่งหากจะให้ความหมาย เก่ง ดี มีสุข
ในด้านการดำเนินชีวิตโดยทั่วไปของผู้คนแล้วนั้นก็จะสามารให้ความหมายที่แตกต่างกันออกไปได้อีก
คือ
เก่ง หมายถึง
ความสามารถในการรู้จักตนเอง มีแรงจูงใจ
สามารถตัดสินใจแก้ปัญหาและแสดงออกได้อย่างมีประสิทธิภาพที่ดีกับผู้อื่น
ดี หมายถึง
ความสามารถในการควบคุมอารมณ์และความต้องการตนเอง รู้จักเห็นใจผู้อื่น
และมีความรับผิดชอบต่อส่วนร่วม
มีสุข หมายถึง ความสามารถในการดำเนินชีวิตอย่างมีสุข
3R7C ของท่านายแพทย์วิจารณ์ การศึกษาในศตวรรษที่ 21(3R
X 7C)
3R ได้แก่
O
READING (อ่านออก),
O
(W)RITING (เขียนได้)
O
(A)RITHMETICS (คิดเลขเป็น)
7C ได้แก่
O
CRITICAL THINKING & PROBLEM SOLVING (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
และทักษะในการแก้ปัญหา)
O CREATIVITY & INNOVATION (ทักษะด้านการสร้างสรรค์
และนวัตกรรม)
O
CROSS-CULTURAL UNDERSTANDING (ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม
ต่างกระบวนทัศน์)
O
COLLABORATION, TEAMWORK & LEADERSHIP (ทักษะด้านความร่วมมือ
การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ)
O
COMMUNICATIONS, INFORMATION & MEDIA LITERACY (ทักษะด้านการสื่อสาร
สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ)
O
COMPUTING & ICT LITERACY (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์
และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)
O CAREER
& LEARNING SKILLS (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้)
ดังนั้นทักษะของคนต้องเตรียมคนออกไปเป็น
KNOWLEDGE
WORKER โดยครูเพื่อศิษย์นั้นจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองโดยสิ้นเชิงเพื่อให้เป็น “ครูเพื่อศิษย์ ในศตวรรษที่ 21”
ไม่ใช่ครูเพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 20 หรือศตวรรษที่ 19
ที่เตรียมคนออกไปทำงานในสายพานการผลิตในยุคอุตสาหกรรม การศึกษาในศตวรรษที่ 21
ต้องเตรียมคนออกไปเป็นคนทำงานที่ใช้ความรู้ (KNOWLEDGE WORKER) และเป็นบุคคลพร้อมเรียนรู้ (LEARNING PERSON) ไม่ว่าจะประกอบ
สัมมาชีพใด มนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ต้องเป็นบุคคลพร้อมเรียนรู้ และเป็น
คนทำงานที่ใช้ความรู้
แม้จะเป็นชาวนาหรือเกษตรกรก็ต้องเป็นคนที่พร้อมเรียนรู้
และเป็นคนทำงานที่ใช้ความรู้ ดังนั้น ทักษะสำคัญที่สุดของศตวรรษ ที่ 21 จึงเป็นทักษะของการเรียนรู้ (LEARNING
SKILLS)
ครูเพื่อศิษย์เองต้องเรียนรู้ 3R
X 7C และต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต แม้เกษียณอายุจากการเป็นครูประจำการไปแล้ว
เพราะเป็นการเรียนรู้เพื่อชีวิตของตนเอง
ระหว่างเป็นครูประจำการก็เรียนรู้สำหรับเป็นครูเพื่อศิษย์ และเพื่อการดำรงชีวิตของตนเอง
โดยย้ำว่าครูต้องเลิกเป็น “ผู้สอน” ผันตัวเองมาเป็นโค้ช หรือ FACILITATOR ของการเรียนของศิษย์
ที่ส่วนใหญ่เรียนแบบ PBL คือโรงเรียนในศตวรรษที่ ๒๑ ต้องเลิกเน้นสอน หันมาเน้นเรียน เน้นทั้งการเรียนของศิษย์ และของครู
P = Prasix
P = Prasix
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
มุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ ๕ ประการ ดังนี้
๑. ความสามารถในการสื่อสาร
เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร
มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก
และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม
รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ
การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง
ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร
ที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม
๒. ความสามารถในการคิด
เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ
เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม
๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา
เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ
ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล
คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ
ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา
และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง
สังคมและสิ่งแวดล้อม
๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง
ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง
การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน
และการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล
การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม
การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม
และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น
๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ
และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้
การสื่อสาร การทำงาน
การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 กำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8 ประการ ดังนี้
1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
2. ซื่อสัตย์สุจริต
3. มีวินัย
4. ใฝ่เรียนรู้
5. อยู่อย่างพอเพียง
6. มุ่งมั่นในการทำงาน
7. รักความเป็นไทย
8. มีจิตสาธารณะ
3R ได้แก่
·
Reading (อ่านออก),
·
(W)Riting (เขียนได้)
·
(A)Rithmetics (คิดเลขเป็น)
7C ได้แก่
·
Critical thinking & problem
solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา)
·
Creativity & innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม)
·
Cross-cultural understanding (ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์)
·
Collaboration, teamwork &
leadership (ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ)
·
Communications, information &
media literacy (ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ)
·
Computing & ICT literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)
·
Career & learning skills (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้)
U = Understanding
เกณฑ์การวัดและประเมินผลการเรียน
1. การตัดสิน
การให้ระดับและการรายงานผลการเรียน
1.1 การตัดสินผลการเรียน
ในการตัดสินผลการเรียนของกลุ่มสาระการเรียนรู้
การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียนคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนนั้น
ผู้สอนต้องคำนึงถึงการพัฒนาผู้เรียนแต่ละคนเป็นหลัก
และต้องเก็บข้อมูลของผู้เรียนทุกด้านอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องในแต่ละภาคเรียน
รวมทั้งสอนซ่อมเสริมผู้เรียนให้พัฒนาจนเต็มตามศักยภาพ
ระดับมัธยมศึกษา
(1) ตัดสินผลการเรียนเป็นรายวิชา
ผู้เรียนต้องมีเวลาเรียนตลอดภาคเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80
ของเวลาเรียนทั้งหมดในรายวิชานั้น ๆ
(2)
ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินทุกตัวชี้วัด และผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด
(3)
ผู้เรียนต้องได้รับการตัดสินผลการเรียนทุกรายวิชา
(4) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมิน
และมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด ในการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
1.2 การให้ระดับผลการเรียน
ระดับมัธยมศึกษา
ในการตัดสินเพื่อให้ระดับผลการเรียนรายวิชา ให้ใช้ตัวเลขแสดงระดับผลการเรียนเป็น 8
ระดับการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้น
ให้ระดับผลการประเมินเป็น ดีเยี่ยม ดี และผ่านการประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
จะต้องพิจารณาทั้งเวลาการเข้าร่วมกิจกรรม การปฏิบัติกิจกรรมและผลงานของผู้เรียน ตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด
และให้ผลการเข้าร่วมกิจกรรมเป็นผ่านและไม่ผ่าน
1.3 การรายงานผลการเรียน
การรายงานผลการเรียนเป็นการสื่อสารให้ผู้ปกครองและผู้เรียนทราบความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของผู้เรียน
ซึ่งสถานศึกษาต้องสรุปผลการประเมินและจัดทำเอกสารรายงานให้ผู้ปกครองทราบเป็นระยะ ๆ
หรืออย่างน้อยภาคเรียนละ 1
ครั้งการรายงานผลการเรียนสามารถรายงานเป็นระดับคุณภาพการปฏิบัติของผู้เรียนที่สะท้อนมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้
2. เกณฑ์การจบการศึกษา
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กำหนดเกณฑ์กลางสำหรับการจบการศึกษาเป็น 3
ระดับ คือ ระดับประถมศึกษา
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
2.1 เกณฑ์การจบระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
(1)
ผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐานและเพิ่มเติมไม่เกิน 81 หน่วยกิต
โดยเป็นรายวิชาพื้นฐาน 63 หน่วยกิต และรายวิชาเพิ่มเติมตามที่สถานศึกษากำหนด
(2)
ผู้เรียนต้องได้หน่วยกิตตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า 77 หน่วยกิต
โดยเป็นรายวิชาพื้นฐาน 63 หน่วยกิต และรายวิชาเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 14 หน่วยกิต
(3) ผู้เรียนมีผลการประเมิน การอ่าน
คิดวิเคราะห์และเขียน ในระดับผ่าน เกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด
(4) ผู้เรียนมีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์
ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด
(5)
ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด
2.2 เกณฑ์การจบระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
(1) ผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐานและเพิ่มเติม
ไม่น้อยกว่า 81 หน่วยกิต โดยเป็นรายวิชาพื้นฐาน 39 หน่วยกิต
รายวิชาเพิ่มเติมตามที่สถานศึกษากำหนด
(2)
ผู้เรียนต้องได้หน่วยกิตตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า 77 หน่วยกิต
โดยเป็นรายวิชาพื้นฐาน 39 หน่วยกิต และรายวิชาเพิ่มเติม ไม่น้อยว่า 38 หน่วยกิต
(3) ผู้เรียนมีผลการประเมิน การอ่าน
คิดวิเคราะห์และเขียน ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด
(4)
ผู้เรียนมีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์
ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด
(5)
ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด
สำหรับการจบการศึกษาสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
เช่น การศึกษาเฉพาะทาง การศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ การศึกษาทางเลือก
การศึกษาสำหรับผู้ด้อยโอกาส การศึกษาตามอัธยาศัยให้คณะกรรมการของสถานศึกษา
เขตพื้นที่การศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้อง
ดำเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักเกณฑ์ในแนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
เกณฑ์การให้คะแนน
ระดับความพึงพอใจ
แบ่งระดับและเกณฑ์การให้คะแนนเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบดังนี้ พอใจมากที่สุดให้
๕ คะแนน พอใจมากให้ ๔ คะแนน พอใจพอสมควรให้ ๓
คะแนน พอใจน้อยให้ ๒ คะแนน พอใจน้อยมากให้ ๑ คะแนน
ระดับของปัญหาแบ่งระดับและเกณฑ์การให้คะแนนเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบดังนี้
เป็นปัญหามากที่สุดให้ ๕ คะแนน เป็นปัญหามากให้ ๔ คะแนน เป็นปัญหาพอสมควรให้ ๓ คะแนน
เป็นปัญหาน้อยมากให้ ๒ คะแนน
ไม่เป็นปัญหาเลยให้ ๑ คะแนน
เกณฑ์การแบ่งช่วงคะแนน จากจำนวนระดับชั้นเท่ากับ
๕ ชั้น (คะแนนจาก ๑ – ๕) คำนวณได้จากสูตรดังนี้
คะแนนสูงสุด – คะแนนต่ำสุด = ๕ – ๑ =
๐.๘ จำนวนระดับชั้น ๕
ดังนั้นในแต่ละช่วงคะแนนของระดับชั้นจะเท่ากับ
๐.๘ คิดเป็นการแบ่งช่วงคะแนนในแต่ละระดับชั้น
ดังนี้ คะแนนเฉลี่ยระหว่าง ๑.๐๐ – ๑.๗๙ หมายถึง
พอใจน้อยมาก หรือไม่เป็นปัญหาเลย
คะแนนเฉลี่ยระหว่าง ๑.๘๐ – ๒.๕๙ หมายถึง พอใจน้อย หรือเป็นปัญหาน้อยมาก
คะแนนเฉลี่ยระหว่าง ๒.๖๐ – ๓.๓๙ หมายถึง พอใจพอสมควร หรือเป็นปัญหาพอสมควร คะแนนเฉลี่ยระหว่าง ๓.๔๐ – ๔.๑๙ หมายถึง
พอใจมาก หรือเป็นปัญหามาก
คะแนนเฉลี่ยระหว่าง ๔.๒๐ – ๕.๐๐ หมายถึง พอใจมากที่สุด
หรือเป็นปัญหามากที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น