ความหมาย
การเรียนรู้แบบผสมผสาน
( Blended
Learning ) อ่าน “เบล็น-เดด เลิร์นนิ่ง”
ได้มีผู้นิยาม ความหมายไว้ที่น่าสนใจดังนี้
Charles
R. Graham ( Graham , 2012 ) แห่งมหาวิทยาลัย Brigham Young
University ประเทศ
สหรัฐอเมริกาได้สรุปนิยามของการเรียนแบบผสมผสานไว้ว่า
เป็นระบบการเรียนการสอนที่ผสมผสานระหว่าง
การเรียนแบบเผชิญหน้ากับการสอนผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ( Blended
learning systems combine face-to-face instruction with computer-mediated instruction
)
Michael
B. Horn and Heather Staker ( Horn and Staker , 2011 ) แห่ง Innosight
Institute ได้นิยามเกี่ยวกับการเรียนแบบผสมผสานของผู้เรียนในระดับ K-12
หมายถึง การเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้รับมวล
ประสบการณ์ทางการเรียนรู้อย่างเป็นอิสระผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยนักเรียนสามารถควบคุมตัว
แปรทางการเรียนรู้ด้วยตนเองทั้งในด้านเวลา สถานที่
แนวทางการเรียนรู้และอัตราการเรียนรู้ของตนเอง ( Blended learning is any
time a student learns at least in part at a supervised brick-andmortar location
away from home and at least in part through online delivery with some element
of student control over time , place , path and/or pace ) Radames
Bernath ( Bernath , 2012 ) ได้สรุปว่า การเรียนแบบผสมผสานหรือ Blended
Learning หมายถึงโปรแกรมทางการเรียนรู้ที่ใช้วิธีการผสมผสานระหว่างการเรียนรู้จากสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือ
E-learning กับการสอนในชั้นเรียน ( A blended
learning program uses a combination of e-learning and classroom instruction )
จากนิยามที่กล่าวในเบื้องต้นอาจสรุปได้ว่า
การเรียนรู้แบบผสมผสาน ( Blended Learning )เป็น
การเรียนรู้ที่ผสมผสานวิธีการเรียนแบบเผชิญหน้ากับการเรียนรู้ผ่านระบบสื่อคอมพิวเตอร์ออนไลน์เพื่อ
เพิ่มประสิทธิภาพทางการเรียนให้สูงขึ้น
คุณลักษณะของการเรียนรู้แบบผสมผสาน ( Types and Models )
การเรียนแบบผสมผสาน
( Blended
Learning ) ตามมโนทัศน์ ( Concepts ) ที่กำหนดนั้นจะเป็น
ลักษณะของการผสมผสานการเรียนรู้ใน 4 ลักษณะดังต่อไปนี้ ( Oliver
and Trigwell , 2005 )
1.
การผสมผสานเทคโนโลยีการเรียนการสอนจากการเรียนผ่านเว็บ ( Web-Based
Instruction ) ให้ เป็นไปตามจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
2.
การผสมผสานในรูปแบบหรือวิธีการที่เน้นเชิงวิชาการในการสร้างผลผลิตทางการเรียนรู้ให้สูงขึ้น
โดยปราศจากเทคโนโลยีเพื่อการสอนอื่นๆเข้ามาช่วย
3.
การผสมผสานรูปแบบวิธีการทางเทคโนโลยีทางการสอนผ่านหลักสูตรเฉพาะและ/หรือการ
ฝึกอบรม
4.
การผสมผสานเทคโนโลยีการสอนเข้ากับงานปกติ
หรือการเรียนตามปกติที่กระทำอยู่
ในขณะเดียวกันกับที่
Horn
and Staker ( 2011 ) ได้จำแนกถึงคุณลักษณะในการจัดการเรียนการ
สอนแบบผสมผสานหรือ Bended Learning สำหรับผู้เรียนในระดับ K-12
ไว้ว่าการการสอนรูปแบบดังกล่าว สามารถจำแนกออกเป็น 6 รูปแบบ ดังนี้
Model
1 : Face to Face Driver เป็นรูปแบบการเรียนการสอนแบบปกติที่มีการเรียนแบบ
เผชิญหน้าระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนในชั้นเรียนโดยการเรียนรู้แบบออนไลน์ในแต่ละเรื่องหรือแต่ละประเด็นที่
กำหนดในหลักสูตรของการเรียนรู้แต่ละครั้ง
Model
2 : Rotation เป็นรูปแบบการเรียนรู้แบบหมุนเวียนตามหลักสูตรเนื้อหาในตารางที่กำหนด
ของการสอนปกติในชั้นเรียนภายใต้สถานการณ์ที่มีความหลากหลายและเป็นไปตามอัตราการเรียนของแต่ละ
บุคคลเป็นสำคัญ
Model
3 : Flex เป็นลักษณะการเรียนแบบผสมผสานที่มีความยืดหยุ่นในการปรับใช้ภายใต้
สถานการณ์ที่ต่างกันที่ครูสามารถจัดให้กับผู้เรียนในการเรียนรู้หลายรูปแบบทั้งการเรียนแบบ
tutoring หรือ การเรียนแบบกลุ่มเล็กตามกลุ่มสนใจ เป็นต้น
Model
4 : Online Lab เป็นรูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานที่เน้นการเรียนในห้องเรียนออนไลน์
ภายใต้สภาพการณ์ของการใช้ห้องปฏิบัติการทางเทคโนโลยีสารสนเทศเต็มรูปแบบโดยครูและผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้
คอยควบคุมให้ความช่วยเหลือทางการเรียนรู้แก่ผู้เรียน Model 5 : Self
Blended เป็นรูปแบบของการเรียนแบบผสมผสานด้วยตัวของผู้เรียนเองตาม
ประเด็นหรือหลักสูตรกำหนด ลักษณะดังกล่าวนี้ส่วนใหญ่เป็นการเรียนรู้ในระดับอุดมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยที่
มีการเชื่อมโยงข้อมูลทางการเรียนระหว่างกันหรือระหว่างสถาบัน ลักษณะดังกล่าวนี้จะมีโปรแกรมควบคุมหลักอยู่ที่ห้องปฏิบัติการตาม
Model 4 ที่จะคอยควบคุมและอำนวยความสะดวกในการเรียนในการเรียนรู้แบบผสมผสานด้วยตนเอง
Model
6 : Online Driver เป็นลักษณะการเรียนแบบผสมผสานที่เต็มรูปแบบโดยมีการเรียนแบบ
ออนไลน์ทั้งผู้เรียนและผู้สอนจากหลักสูตรที่กำหนด
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และสารสนเทศจะมีบทบาท
ค่อนข้างสูงต่อกระบวนการขับเคลื่อนในรูปแบบดังกล่าวนี้
จากรูปแบบของการเรียนแบบผสมผสานที่กล่าวนี้จะเห็นได้ว่าการนำเอากระบวนการเรียนแบบ
ผสมผสานมาใช้ในการเรียนการสอนนั้น
ประเด็นสำคัญคงต้องคำนึงถึงความพร้อมและความเป็นไปได้หลาย
ประการที่จะเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาปรับใช้การเรียนรู้ในลักษณะนี้ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์
บริบทและ ความพร้อมทุกด้านเพื่อเกิดผลและประสิทธิภาพสูงสุดของการประยุกต์ใช้
ข้อดี –
ข้อจำกัดของการเรียนแบบผสมผสาน ( Strong and Weakness )
การเรียนรู้แบบผสมผสาน
( Blended
Learning ) ซึ่งเป็นนวัตกรรมการเรียนรูปแบบใหม่และนำมา
ปรับใช้ในการเรียนการสอน
ซึ่งจากการวิจัยพบว่ามีทั้งข้อดี-ข้อเสียบางประการที่ควรคำนึงถึงที่ขอนำมา
กล่าวถึงในประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้ ( อภิชาติ อนุกูลเวช , 2555 )
ข้อดีของ Blended Learning
1.
สามารถแบ่งเวลาเรียนได้อย่างมีอิสระในการเรียนรู้เนื้อหา
2.
เลือกสถานที่เรียนได้อย่างมีอิสระทั้งในชั้นเรียนปกติหรือนอกชั้นเรียน
3.
ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองตามระดับและอัตราการเรียนรู้ (Self-paced
)
4.
ผู้เรียนสามารถสื่อสารได้อย่างใกล้ชิดกับครูผู้สอน
5.
เป็นรูปแบบการผสมผสานระหว่างการเรียนแบบเดิมกับรูปแบบการเรียนเชิงอนาคต
6.
เป็นการเรียนรู้ที่เน้นด้วยสื่อผสม ( Multimedia ) หลากหลายรูปแบบ
7.
เป็นการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Learner
Center )
8.
ผู้เรียนมีเวลาในการค้นคว้าข้อมูลได้อย่างอิสระสามารถวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลได้ดี
9.
สามารถส่งเสริมความแม่นยำการถ่ายโอนความรู้ของผู้เรียนและทราบผลการปฏิบัติได้รวดเร็ว
10.
สร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ได้ดี
11.
สามารถสร้างแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ดี
12.
สามารถทบทวนความรู้เดิม และสืบค้นความรู้ใหม่ได้ตลอดเวลา
13.
สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่รบกวนภายในชั้นเรียนได้ทำให้ผู้เรียนมีสมาธิในการเรียน
14.
ผู้เรียนมีช่องทางในการเรียนรู้ได้หลากหลาย
สามารถเข้าถึงผู้สอนหรือแหล่งข้อมูลได้ดี
15.
เป็นรูปแบบการเรียนที่เหมาะสำหรับผู้เรียนที่ค่อนข้างขาดความมั่นใจในตนเอง
16.
รูปแบบการเรียนสามารถนาไปใช้ในการฝึกอบรมในบริษัทหรือองค์กรต่างๆ
และช่วยลดต้นทุนใน การฝึกอบรมสัมมนาได้
ข้อจำกัดของ
Blended Learning
1.
ผู้เรียนไม่สามารถแสดงความคิดเห็น
หรือถ่ายทอดความคิดเห็นได้อย่างงรวดเร็ว
2.
เป็นรูปแบบที่อาจมีความล่าช้าในการปฏิสัมพันธ์ ( Interaction
) ระหว่างผู้เรียน-ผู้สอน
3.
การมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ค่อนข้างมีน้อยโดยผู้เรียนไม่สามารถมีส่วนร่วมได้ทุกคน
4.
ความไม่พร้อมในด้าน Software บางอย่างที่อาจมีราคาแพง
5.
เป็นรูปแบบที่อาจใช้งานได้ค่อนข้างยาก
โดยเฉพาะผู้ที่ขาดทักษะความรู้ด้าน Software
6.
ผู้เรียนบางคนคิดว่าไม่คุ้นค่าต่อการลงทุน
เพราะราคาอุปกรณ์ค่อนข้างราคาสูง
7.
ผู้เรียนต้องมีทักษะ
ความรู้ความเข้าใจในด้านงานคอมพิวเตอร์เพื่อการเข้าถึงข้อมูลแห่งโลก Internet
8.
ผู้เรียนต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเองค่อนข้างสูงในการเรียนการสอนรูปแบบนี้
9.
ความแตกต่างของผู้เรียนแต่ละคนเป็นอุปสรรคต่อการเรียนการสอนแบบผสมผสาน
10.
สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมต่อการใช้เครือข่ายหรือระบบ Internet
Network เกิดปัญหาหรือเป็น จุดบอดในด้านการรับส่งสัญญาณ
11.
เกิดการขาดปฏิสัมพันธ์แบบ Face to face ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน
( Real Time )
จากการศึกษาข้าพเจ้ามีความคิดเห็นว่าการเรียนรู้แบบผสมผสานนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ดังนั้นการผสานจึงต้องคำนึงถึงวิธีการที่สามารถไปด้วยกันได้
เมื่อนำมาใช้จะเกิดจุดดีจุดเด่น
ที่ส่งเสริมให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพได้
ทฤษฎีสนามของเลวิน (Lewin’s Field Theory)
Kurt
Lewin นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน (1890 – 1947) มีแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้เช่นเดียวกับกลุ่มเกสตัลท์ ที่ว่าการเรียนรู้ เกิดขึ้นจากการจัดกระบวนการรับรู้
และกระบวนการคิดเพื่อการแก้ไขปัญหาแต่เขาได้นำเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์มาร่วมอธิบายพฤติกรรมมนุษย์
เขาเชื่อว่าพฤติกรรมมนุษย์แสดงออกมาอย่างมีพลังและทิศทาง
(Field of Force) สิ่งที่อยู่ในความสนใจและต้องการจะมีพลังเป็นบวก ซึ่งเขาเรียกว่า Life space สิ่งใดที่อยู่นอกเหนือความสนใจจะมีพลังเป็นลบ
Lewin กำหนดว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวมนุษย์จะมี ๒
ชนิด คือ
๑. สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ
(Physical environment)
๒. สิ่งแวดล้อมทางจิตวิทยา (Psychological environment) เป็นโลกแห่งการรับรู้ตามประสบการณ์ของแต่ละบุคคลซึ่งอาจจะเหมือนหรือแตกต่างกับสภาพที่สังเกตเห็นโลก
หมายถึง Life space นั่นเอง
Life
space ของบุคคลเป็นสิ่งเฉพาะตัว
ความสำคัญที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน คือ ครูต้องหาวิธีทำให้ตัวครูเข้าไปอยู่ใน Life
space ของผู้เรียนให้ได้
ทฤษฎีทางจิตวิทยาสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในเทคโนโลยีการศึกษาได้อย่างไร
เทคโนโลยีการศึกษา คือ การนำเอาเทคนิค วิธีการและวัสดุอุปกรณ์มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ
การพัฒนา การนำไปใช้ การจัดการและการประเมินการเรียนการสอน
เพื่อแก้ไขปัญหาและทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การผลิตสื่อ
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน, เว็บการสอน, E – Learning การจัดรูปแบบการเรียนการสอน การสร้างเทคนิคการสอน เป็นต้น
และทฤษฎีทางจิตวิทยาได้เอามาใช้ในเทคโนโลยีการศึกษาคือ
1.
การผลิตสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะใช้ทฤษฎีการเรียนรู้พฤติกรรมนิยม (Behavioral
Learning Theory)ใช้ในการออกแบบและพัฒนาบทเรียนโดยใช้ทฤษฎีของกาเย่
( Gagne ) ทฤษฎีการเรียนรู้ 8 ขั้น
ดังนี้
–
สร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในบทเรียน
–
แจ้งจุดประสงค์ บอกให้ผู้เรียนทราบถึงผลการเรียน
เห็นประโยชน์ในการเรียน ให้แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียน
–
กระตุ้นให้ผู้เรียนทบทวนความรู้เดิมที่จำเป็นต่อการเชื่อมโยงไปหาความรู้ใหม่
เสนอบทเรียนใหม่ๆ ด้วยสื่อต่างๆ ที่เหมาะสม
–
ให้แนวทางการเรียนรู้ ผู้เรียนสามารถทำกิจกรรมด้วยตนเอง
ผู้สอนแนะนำวิธีการทำกิจกรรม แนะนำแหล่งค้นคว้าต่างๆ
–
กระตุ้นให้ผู้เรียนลงมือทำแบบฝึกปฏิบัติ
–
ให้ข้อมูลย้อนกลับ ผู้เรียนทราบถึงผลการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ
–
การประเมินผลการเรียนตามจุดประสงค์
–
ส่งเสริมความแม่นยำ การถ่ายโอนการเรียนรู้ โดยการสรุป การย้ำ
การทบทวน
2.
การผลิตสื่อเว็บการสอนจะใช้ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม (Cognitive
Learning Theory) ใช้ในการการออกแบบและพัฒนาบทเรียนโดยใช้ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการค้นพบ
ของ Jero Brooner เพื่อให้ผู้เรียนจะต้อง ศึกษาและค้นคว้าด้วยตนเอง
จะต้องสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้สอน ผู้เรียนร่วม ผู้สนใจ และบุคคลอื่นๆ ในระบบได้ทั่วโลก
โดยมีแนวคิดพื้นฐาน คือ
1.
การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง
2.
ผู้เรียนแต่ละคนจะมีประสบการณ์และพื้นฐานความรู้ที่แตกต่างกัน
การเรียนรู้จะเกิดจากการที่ผู้เรียนสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่พบใหม่กับความรู้เดิมแล้วนำมาสร้างเป็นความหมายใหม่
3.
การจัดรูปแบบการเรียนการสอนจะใช้ทฤษฎีทางจิตวิทยากลุ่มมนุษย์นิยม
มาใช้ในการจัดรูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ทฤษฎีของ เลวิน (Lawin) ทฤษฎีสนาม มาใช้โดยการให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมกลุ่ม
ได้เรียนรู้กับเพื่อนๆในกลุ่ม
เป็นการเรียนแบบร่วมมือเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน
สามารถสรุปใจความสำคัญของทฤษฎีสนามเพื่อนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมกลุ่มได้ดังนี้
1.
พฤติกรรมเป็นผลจากพลังความสัมพันธ์ของสมาชิกกลุ่ม
2.
โครงสร้างกลุ่มเกิดจากการรวมกลุ่มของบุคคลที่มีลักษณะแตกต่างกัน
3.
การรวมกลุ่มแต่ละครั้งจะต้องมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในกลุ่มเช่น
ในรูปการกระทำ (act) ความรู้สึกและความคิด
4.
องค์ประกอบต่างๆ ดังกล่าว จะก่อให้เกิดโครงสร้างของกลุ่ม
แต่ละครั้งที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามลักษณะของสมาชิกกลุ่ม
5.
สมาชิกกลุ่มจะมีการปรับตัวเข้าหากันและพยายามช่วยกันทำงานจะก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและทำให้เกิดพลังหรือแรงผลักดันของกลุ่ม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น